Tuesday, July 31, 2012

0 comments

อ่าน ชิงนาง ตอนที่3 วันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ย้อนหลัง

ภูผาและสว่างขับรถมาจอดพรืด! ที่แนวไม้กั้นทางเข้าหน้าไร่ มองป้าย “ไร่ฟ้าเหนือฟ้า” รู้ว่ามาไม่ผิดที่แน่
      
       สว่างกังวลไม่หาย “บุกมาถึงถ้ำเสือเลยเหรอครับนาย”
       ภูผาพูดนิ่งๆ “ถ้ำเสือ..หรือแค่รังโจร…เดี๋ยวก็รู้”
       ลูกน้องเหนือฟ้า 2 คนที่เฝ้าอยู่เดินกร่างเข้ามาทันที
       สว่างบอกลูกน้อง “นายภูผาต้องการเจรจากับพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า”
       มันหันไปมองหน้ากัน เมื่อรู้ว่าคนที่มาเยือนนี่คือ ภูผา
       ลูกน้องคนหนึ่งเดินมาขวางหน้ารถ “ไร่ฟ้าเหนือฟ้าไม่ต้อนรับ!”
       ภูผายิ้มมุมปาก “ที่แท้ก็แค่รังโจร!”
       ลูกน้องอีกคน เดินมาหยุดที่ข้างรถฝั่งภูผาและออกคำสั่ง
       “กลับไป!”
       ลูกน้องคนแรกเริ่มนับ “นับหนึ่ง...นับสอง........นับ.....”
       ยังไม่ทันจะ “สาม” ภูผาต่อยเปรี้ยงไปลูกน้องคนที่ไล่ หงายเงิบสลบกลางอากาศ
       ภูผากระโดดพรวดไปที่กระโปรงหน้ารถแล้วเตะเสยลูกน้องที่เหลือ จนล้มคว่ำไปที่หน้ารถ มันฮึดสู้ จะชักปืนออกมา แต่สว่างเหยียบคันเร่ง พรวด! พุ่งรถเข้าใส่ ลูกน้องเหนือฟ้าล้มกลิ้งหงายไปอยู่ใต้ท้องร ลุกขึ้นไม่ได้เพราะรถคร่อมตัวอยู่
       สว่างชักเริ่มสนุก ตะโกนบอกภูผา “ไปกระตุกหนวดเสือกันครับนาย!”
       ภูผากระโดดขึ้นรถ สว่างเร่งคันเร่งรถมุ่งหน้าเข้าไปในไร่
       ลูกน้องลุกขึ้นมาได้สีหน้าตกใจ รีบวิ่งตามรถเข้าไป
      
       เหนือฟ้าแทงพูลอยู่ในบ้าน แต่พลาด
       “เว้ย!” อารมณ์เสีย
       ภูผาและนายสว่างเดินพรวดเข้ามา ลูกน้องเหนือฟ้าเห็นเข้ารีบออกมารับหน้า
       เหนือฟ้าเงยหน้าจากโต๊ะพูลขึ้นมอง เห็นว่าเป็นภูผาก็ยิ้มร้าย
       ลูกน้องที่หน้าประตูไร่ วิ่งกระเซอะกระเซิงตามเข้ามา
       “พ่อเลี้ยงครับ..ผมห้ามมันไม่อยู่” ลูกน้องบอก
       เหนือฟ้ามองไม่พอใจลูกน้องก่อนเอ่ยกับภูผา “กล้ามาเหยียบถึงถิ่นเลยเหรอ ไอ้ภูผา”
       “ฉันกล้าเหยียบทั้งนั้น ไม่ว่าจะถิ่นไหน..หรือหน้าไหน!” ภูผาบอกไม่สะทกสะท้าน
       “ไอ้ภูผา!”
       “ฉันมาที่นี่เพื่อทำไร่ ไม่ได้มาเพื่อมีปัญหากับใคร” เสียงเข้มขึ้น “ถ้าไม่คิดจะเป็นมิตร ก็ต่างคนต่างอยู่!”
       เหนือฟ้ามองภูผานิ่งๆ ก่อนจะพูดขึ้น
       “ต่างคนต่างอยู่น่ะไม่ยาก แต่แกกำลังยุ่งกับหนูนา ผู้หญิงของฉัน!”
       สว่างฟังแล้วไม่เข้าหู รู้สึกไม่พอใจ “ผู้หญิงของพ่อเลี้ยงที่พูดถึงน่ะ..หลานผมนะคร๊าบ”
       “ลูกหลานใครฉันไม่สน! คนอย่างพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า..อยากได้อะไรต้องได้”
       สว่างไม่พอใจหนัก “อ้าว”
       ภูผาขัดขึ้นเสียงเรียบๆ “ถามผู้หญิงเขาหรือยังว่าอยากเป็นผู้หญิงของนายหรือเปล่า”
       เหนือฟ้าโกรธ “ไอ้ภูผา!”
       เหนือฟ้าพุ่งจะเข้าเล่นภูผา ภูผาชักปืนจ่ออย่างไม่หวั่นเกรง
       ลูกน้องเหนือฟ้าชักปืนออกมาเล็งไปที่ภูผา จังหวะเดียวกับที่สว่างก็ชักปืนออกมาประจันหน้ากับกลุ่มลูกน้องเหมือนกัน
       เหนือฟ้าอึ้ง ตาค้าง เมื่อเห็นว่าถูกปืนภูผาจ่ออยู่ตรงหน้า
       “เอาสิ พวกมันยิง ฉันยิง! ดูสิว่ากระสุนของฉันกับลูกน้องนายใครจะไวกว่ากัน แต่ระยะแค่นี้..ฉันไม่พลาดเป้าแน่!” ภูผาขู่ท่าทีแน่วนิ่ง
      
       ในบรรยากาศแสนตึงเครียดนั้น ภูผากลับดูสงบนิ่ง ในขณะที่เหนือฟ้าเหงื่อเริ่มแตก
       วันชัยเดินเข้ามาบอกเสียงเรียบๆ “เก็บปืน!”
       วันชัยก้าวเข้ามาในห้อง ภูผาเหลือบมองวันชัยแวบหนึ่ง ดูเก๋าเกมไม่เบา วันชัยก้าวเข้ามาขวางทางปืนที่จ่อไปที่เหนือฟ้าอย่างไม่พรั่นพรึงใดๆ พวกลูกน้องชะงัก
       “ฉันสั่ง” วันชัยเสียงเข้ม “ให้เก็บปืน”
       เหนือฟ้าขัดใจ “พี่วันชัย!!”
       วันชัยยกมือห้ามเหนือฟ้าไม่ต้องพูด มองภูผาอย่างประเมินความสามารถ “ไม่เบานี่...”
       “อย่ายุ่งกับไร่ของฉันอีก” บอกกับเหนือฟ้า “ส่วนเรื่องหนูนา ฉันเป็นนายก็ต้องดูแลปกป้องลูกน้องของชั้น”
       ภูผาจ้องหน้าวันชัยและเหนือฟ้า ก่อนจะกลับออกไปมาดอย่างเท่ โดยมีสว่างจ่อปืนเดินถอยระวังหลังตามภูผาไป
       เหนือฟ้าโวยใส่ลูกน้อง
       “ยืนทำบื้ออะไร ตามไปเก็บมันสิวะ”
       วันชัยสั่งเฉียบขาด “ใครตามไป ข้าจะยิงทิ้งให้หมด”
      
       ทุกคนชะงักกึก
วันชัยเดินเข้ามามองหน้าเหนือฟ้าใกล้ๆ พูดเบาๆ กับเหนือฟ้าแต่เสียงเข้ม
       
       “ในสายตาคนอื่นเราต้องเป็นเสือไม่ใช่หมาลอบกัด! ถ้ามันเป็นศพอยู่ในไร่เรา พ่อเลี้ยงก็จะกลายเป็นแค่นักเลงหางแถว” วันชัยหันกลับมาพูดกับลูกน้อง “ไอ้เหงี่ยม!”
       ลูกน้องชื่อเหงี่ยมก้าวออกมา
       “ครับ นาย!”
       วันชัยยิงเปรี้ยง! เข้าที่ลำตัวลูกน้อง เหงี่ยมสะดุ้งเฮือก! ทรุดลง ทุกคนตกใจ
       “เพราะเอ็งปล่อยให้ไอ้ภูผามันเข้ามาหยามพ่อเลี้ยงเหนือฟ้ากับข้าได้ ถึงที่นี่” หันไปพูดกับลูกน้องคนอื่นๆ “พวกเอ็งจำไว้ ต่อไปใครทำงานพลาด..ตายสถานเดียว!!”
       ทุกคนอึ้งไปหมด….แล้วค่อยๆ ลากลูกน้องดวงกุด ออกไป
       เหนือฟ้าโวยวายอย่างเสียหน้า
       “ไหนพี่บอกนับถอยหลังได้เลยไง นี่แค่ข้ามวัน..มันก็มาเหยียบหน้าฉันถึงที่แล้ว เลี้ยงเสียข้าวสุก”
       วันชัยหันขวับจ้องหน้าเหนือฟ้า เหนือฟ้าจ้องกลับด้วยความโกรธก่อนฮึดฮัดออกไป
       วันชัยกำมือแน่นอย่างเจ็บแค้น ซึ่งดูไม่รู้ว่าแค้นภูผา หรือว่าเหนือฟ้ากันแน่!
      
       ที่ท่าเรือวงเดือนจัดสำรับปิ่นโตให้พฤกษ์
       “ทานข้าวก่อนนะคะจะได้ทานยา”
       พฤกษ์หยิบช้อนจะตักข้าว แต่ไม่ถนัดนักเพราะเจ็บแผล วงเดือนเห็นจึงตัดสินใจขอช้อนมาจากพฤกษ์ พฤกษ์ส่งให้งงๆ
       “เดือนป้อนให้ดีกว่านะคะ”
       วงเดือนตักข้าวป้อน พฤกษ์มองอึ้งๆ ไม่คิดว่าเดือนจะทำให้ พฤกษ์ตื่นเต้นนิด ๆ อ้าปากรับการป้อนจากวงเดือน สีหน้ามีความสุข ในขณะที่วงเดือนทำไปตามหน้าที่
       เมฆาจะเข้ามาแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นวงเดือนป้อนข้าวพฤกษ์
       เมฆาจับอาการเห็นชัดว่าพฤกษ์มองวงเดือนอย่างมีความสุขมาก เมฆาลอบมองอย่างเข้าใจ
       วงเดือนถาม “ทำไมคุณพฤกษ์ถึงไม่กลับบ้านคะ คุณลุงคุณป้าท่านเป็นห่วงคุณพฤกษ์มากนะคะ”
       พฤกษ์อึ้งไป เพราะเคยพูดกับย่าว่าจะเป็นคนขอไปจากบ้านเอง
       วงเดือนอึดอัดใจ “เป็นเพราะเดือนหรือเปล่าคะ”
       พฤกษ์โกหก “ไม่ใช่นะ ไม่เกี่ยวกับเดือน”
       “ถ้าอย่างนั้น...คุณพฤกษ์ก็กลับบ้านเถอะนะคะ อยู่ที่นี่มันไม่สะดวกสบาย”
       “แต่ที่นี่..เป็นที่ที่ฉันอยู่กับเดือนได้..โดยไม่ต้องกังวลสายตาคุณย่า”
       วงเดือนอึ้งกับเหตุผลของพฤกษ์
       “เดือน...ฉัน...”
       เมฆาเดืนเข้ามาขัดจังหวะทันที
       “พี่พฤกษ์ เป็นยังไงบ้าง” วางถุงยาในมือลง “ผมเอายามาเพิ่มให้ ยังปวดแผลอยู่ไหม?”
       “ดีขึ้นมากแล้ว” พฤกษ์บอก
       เมฆาพยักหน้ารับรู้และหันไปหาวงเดือน “ถ้าอย่างงั้นเราไปกันเถอะ”
       “จะไปไหน”
       “คลินิกครับ นี่ใกล้เวลาเปิดแล้ว เดี๋ยวคนไข้จะรอ” เมฆาบอก
       วงเดือนรับคำ “ค่ะ”
       เมฆาเดินออกไป วงเดือนลุกตามไปแต่ยังไม่วายหันมาหาพฤกษ์
       “กลับบ้านนะคะคุณพฤกษ์”
       พฤกษ์ยิ้มน้อยๆ ส่งให้..ไม่ตอบอะไร วงเดือนเดินออกไป พฤกษ์มองตามอย่างอาลัยอาวรณ์
      
       แต่ไม่นานหลังจากนั้น เมฆากลับเดินนำวงเดือนเข้ามาในร้านอาหาร พาไปนั่งที่โต๊ะในมุมหนึ่ง
       “คุณเมฆาคะ ไหนว่าเราจะรีบไปคลินิกไม่ใช่เหรอคะ”
       “ตั้งแต่เช้า ฉันยังไม่ได้ทานอะไรเลย ขอทานข้าวก่อนได้ไหม”
       วงเดือนเจอเสียงนิ่มๆ ขอร้องในที ของเมฆาก็ยิ่งไม่กล้าปฏิเสธ “ค่ะ”
       เมฆาดูเมนู “ทานอะไรดี”
       วงเดือน มองอาการเกรงใจปนอึดอัด “เดือนยังไม่หิวค่ะ”
       เมฆามองวงเดือนที่ดูเกร็ง ก็ยิ้มนิดๆ แต่ไม่เซ้าซี้ พนักงานเดินมารับออเดอร์
       เมฆาเริ่มสั่ง “ข้าวผัดกุ้งที่นึงแล้วก็” มองวงเดือน “น้ำส้มแก้วนึงนะเดือน”
       วงเดือนพยักหน้ารับอย่างเกรงใจ พนักงานเดินกลับไป
       เมฆามองเดือน “อึดอัดเหรอ”
       วงเดือนอึกอัก “เดือนคิดว่ามันไม่เหมาะ ถ้าใครมาเห็นเข้า”
       เมฆาสวนออกมาไม่แคร์ “ฉันไม่สน”
       วงเดือนอึ้ง
       เมฆาเสียงนุ่มนวลลงแต่จริงจัง “ขอให้ได้อยู่กับเธอ ฉันไม่สนใจใครทั้งนั้น”
      
       วงเดือนเจอยิงคำหวานใส่ก็ได้แต่อึ้ง หันเมินมองไปทางอื่น
   ที่ประตูหน้าร้านเวลานั้น โฉมไฉไลเดินเข้ามากับเพื่อนสาว
       
       “โฉม นั่นมันคุณเมฆานี่ มากับสาวที่ไหนล่ะนั่น?”
       โฉมไฉไลหันไปมอง เห็นวงเดือนนั่งอยู่กับเมฆา ก็โกรธจี๊ดของขึ้นมาทันควัน
       “ไหนว่าคุณเมฆาเขาหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้นไง” เพื่อนปากดียิ้มเยาะ “ฉันว่าไอ้ที่เขาหลงน่ะ
       ..ยัยหน้าหวานนั่นมากกว่า ไม่ใช่น้ำพริกถ้วยเก่าอย่างเธอแล้วล่ะ”
       โฉมไฉไลพีคสุดแล้ว พุ่งเข้าไปหาเมฆากับวงเดือนที่โต๊ะทันที เพื่อนสาวรีบตามไป
       วงเดือนหันไปเห็นโฉมก็ตกใจ หวั่นจะมีเรื่องเหมือนครั้งก่อน
       โฉมไฉไลทักเมฆาเสียงขุ่น “ไม่มีเพื่อนทานข้าวทำไมไม่บอกโฉมล่ะค่ะ” โยนค้อนให้วงเดือน
       “จะได้ไม่ต้องลำบากลากคนรับใช้ในบ้านมาร่วมโต๊ะด้วยแบบนี้”
       วงเดือนหน้าเสีย
       “เอ่อ..เดือนขอตัวก่อนนะคะ”
       โฉมไฉไลคว้าแขนวงเดือนไว้ จิกแขนแน่น “อยู่บ้านผู้ดีแท้ ๆ แต่ไม่มีมารยาทจะลุกหนีไปดื้อๆ อย่างนี้ได้ยังไง”
       เมฆาปราม ไม่อยากให้มีเรื่อง “โฉม!”
       โฉมไฉไลแววตาแข็งกร้าวแต่พูดเสียงหวาน “นั่งก่อนสิจ๊ะเดือน”
       พลางโฉมไฉไลดึงวงเดือนให้ลงนั่ง วงเดือนจำใจ จากนั้น..โฉมไฉไลถือวิสาสะนั่งลงร่วมโต๊ะด้วยเลย
       เพื่อนสาวเห็นสีหน้าเมฆาตึง รู้ว่าไม่พอใจแน่ ก็รีบเอ่ยขึ้น “โฉม..ฉันว่า”
       โฉมไฉไลพูดกับเพื่อน “เธอยังไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม หล่อนชื่อวงเดือนเรียนจบพยาบาล” หันมาพูดกับวงเดือน “เธอเก่งทางด้านอะไรนะ จับ..หมอใช่ไหม?!”
       โฉมไฉไลหัวเราะเสียดสีเต็มที่
       เพื่อนสาวทำหน้าไม่ถูก รู้ว่าเดี๋ยวมีตบกันแน่
       เมฆามองวงเดือนที่หน้าเสีย ก็ไม่พอใจลุกขึ้นทันที เมฆาหยิบเงินวางบนโต๊ะแล้วคว้ามือวงเดือน
       “ไป!”
       เมฆาจะดึงวงเดือนลุกไป แต่โฉมไฉไลดึงแขนเมฆาไว้เช่นกัน
       “คุณจะไปไหน”
       เมฆาตอกหน้าไม่เกรงใจแล้ว “ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีคุณ”
       “คุณเห็นนังนี่ดีกว่าฉันเหรอ”
       เมฆาสวนคำทันที “ใช่!”
       เมฆาปลดมือโฉมไฉไลอย่างไม่แยแส แล้วจูงมือวงเดือนเดินออกไป
       เพื่อนสาวทำทีหวังดีแต่ปรารถนาร้าย “ฉันว่าเธอตกกระป๋องแล้วล่ะโฉม”
       โฉมไฉไลแค้นจัดขบกรามคำรามในลำคอ
       “นังวงเดือน!!”
      
       ด้านภูผาอาบน้ำเสร็จ อยู่ในห้อง โยนผ้าเช็ดตัวและหยิบเสื้อมาสวม เสียงสว่างดังเข้ามา
       “นายครับ..นาย...”
       ภูผาเดินออกไปหน้าบ้าน เห็นหนูนา นายสว่างกับคนงานทั้งหมดรออยู่แล้ว มีคนแก่มาด้วยสองสามคน
       สว่างร้องขึ้น “อ้าว มาแล้ว” หันไปบอกคนงาน “เตรียมตัวให้พร้อมเว้ยเฮ้ย”
       หนูนาทำหน้าเยาะใส่ภูผา
       “ให้คนทั้งไร่มายืนรอตั้งนาน อย่างนี้ต้องโดนลงโทษ”
       “จัดเต็ม” ดอยรับมุก
       จากนั้นดอยและคนงานอื่นๆ ที่ทำงึมๆ กันอยู่กรี๊ดกันขึ้นมากรูเข้าใส่ภูผาปะแป้ง พรมน้ำ โปรยดอกไม้
       คนแก่ผูกข้อมือ เป่าหัวปู๊ดๆๆ…ภูผางงไปหมด
       ดอยปะแป้งภูผา หอมแก้มซ้ายขวา แล้วกรี๊ดกร๊าดชอบใจ
       “แอร๊ยย ได้กำไรอ้ะ”
       สว่างหัวเราะร่า เข้ามาบอก
      
       “ธรรมเนียมคนเหนือน่ะครับ รับขวัญกันหน่อย โชคร้ายให้มันหายไป เหลือไว้แต่โชคดี” สว่างว่า
       ภูผาซึ้งใจ ยิ้มกว้าง หันไปสบตากับหนูนาที่มองมา…ภูผายิ้มให้
       หนูนาทำไม่สน เชิดเชอะหันหลังให้ เห็นว่าอมยิ้ม ภูผาอดยิ้มตามไม่ได้
      
       เวลาผ่านไป
       เย็นนั้นภูผานั่งอยู่ตรงระเบียงบ้านพัก ลมหนาวโชยมาปะทะใบหน้าภูผา ชายหนุ่มสัมผัสกับความหนาวเย็นยะเยือก ทอดสายตาไปยังยังเทือกเขาล้อมรอบเบื้อหน้า ไล่สายตาตามหมอกจางๆ ที่ลอยล่องเป็นกลุ่มเหนือนภา ภูผากอดอกเรียกไออุ่น พูดกับตัวเอง
       “อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว อีกไม่นานหน้าหนาวก็จะมาถึง...”
      
       ค่ำคืนเดียวกันนั้น ศรีเรือนนั่งอ่านจดหมายใบหน้าของหญิงชรายิ้มนิด ๆ ที่ได้รับรู้ความเป็นไปของหลานชา ผู้อยู่ไกล
       “คนที่นี่พูดกันว่าปีนี้คงจะหนาวกว่าปีที่แล้วมาก”
      
       ตอนเช้าวันต่อมา กล่องรับจดหมายหน้าบ้าน...ถูกวงเดือนเปิดออกแต่ไม่เจออะไร หญิงสาวถอนหายใจปิดกล่องด้วยสีหน้าผิดหวัง
      
       ค่ำคืนนั้นศรีเรือนอยู่ในห้องนอน กำลังอ่านจดหมายของภูผา เห็นภาพหลานชายคนรองแห่งแสนสมุทร ราวกับเขายืนเล่าอยู่ตรงหน้า
       “ไร่ชาของเรา พร้อมเผชิญกับความหนาวที่คนแถวนี้ร่ำลือกันแล้ว
       หญิงชรานึกเห็นเป็นภาพภูผากำลังออกแรงทำงานในไร่
       “ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะหนาวแค่ไหน”
       เห็นฉากชีวิตที่ภูผาช่วยกันกับคนงาน ตอกรั้วกั้นเขตไร่
       “แต่ไม่ว่ายังไง เลือดทะเลอย่างผมก็ต้องทนให้ได้”
       ภูผาช่วยคนงานแบกไม้หนักอึ้งอย่างแข็งขัน
       “มันไม่ใช่แค่การพิสูจน์ตัวเองเพียงอย่างเดียว...สำหรับผม มันเป็นการเยียวยาชีวิต ที่เคยพังไม่มีชิ้นดี”
       ยามค่ำคืนภูผานั่งดื่มชาอยู่หน้ากองไฟ
       “ม้าแตกฝูง เมื่อบาดเจ็บก็ต้องรักษาตัวเอง...ผมก็เช่นกัน”
       ศรีเรือนเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย ถอนใจ แววตาเห็นใจ
       “ย่าเชื่อว่าแกต้องทำได้” หญิงชรายิ้ม “คนเลือดร้อนอย่างแก ไปอยู่ที่หนาวๆ ซะบ้างก็ดี เผื่อจะเย็นลงบ้าง”
       ศรีเรือนดึงหีบใบหนึ่งออกมาจากตู้ เมื่อเปิดออกเห็นว่ามีจดหมายจ่าหน้าซองด้วยลายมือภูผาเป็นปึก ศรีวางจดหมายสองสามฉบับสุดท้ายลงแล้วปิดหีบใส่กุญแจล็อค!
      
       วงเดือนนั่งถักนิตติ้งอยู่ที่หน้าเรือนพัก หญิงสาวบอกกับตัวเอง
       “รถไฟเที่ยวนั้นสิ้นสุดที่เชียงราย แต่ไม่รู้ว่าปลายทางของคุณคือที่ไหนกันแน่…จะหวังให้คุณติดต่อกลับมาหาเดือน คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากวันไหนมีใครสักคนที่นี่รู้ที่อยู่ของคุณ เดือนจะฝากให้เขาเอา
       เสื้อกันหนาวไปให้…อยากให้คุณรู้ไว้เสมอว่า หัวใจพังๆ ที่คุณทิ้งไว้ มันถูกดูแลอย่างดี และดูแลอย่างนี้ตลอดไป”
      
       รุ่งเช้าภูผาหยิบจดหมายสองสามฉบับหย่อนใส่ตู้ไปรษณีย์ตรงหน้า กวาดสายตามองไปรอบๆ ที่ตรงนี้เขาไม่เคยอยู่ ไม่คุ้นตา เหมือนแสนสมุทร..บ้านของเขา
      
       เช้าวันต่อมาไปรษณีย์ขี่จักรยานมาเปิดตู้จดหมายแล้วใส่จดหมายเข้าไป เป็นจังหวะที่วงเดือนเดินออกมาหน้าบ้านพอดี เห็นไปรษณีย์ขี่รถลับตัวไป สีหน้าวงเดือนมีความหวัง นึกถึงภูผาขึ้นมา
       “คุณภูผา...”
       วงเดือนรีบเดินไปที่ตู้จดหมายแล้วเปิดออก หยิบจดหมายปึกนั้นออกมา โดยไม่รู้ว่ามีจดหมายภูผาอยู่ข้างใต้สุด
       วงเดือนค่อยๆ พลิกไล่ดูจดหมายทีละฉบับ...ทีละฉบับ ดึงจดหมายฉบับสุดท้ายของคนอื่นออกไป ก่อนจะเห็นตรงขอบมุมจดหมายของภูผา!!
      
       วงเดือนอ่านจ่าหน้าซองจดหมายของภูผา
       “คุณย่าศรีเรือน...” มองที่ลายมือจำได้ติดตา “ลายมือคุณภูผา!”
       วงเดือนเพ่งมองจดหมายอีกครั้ง เห็นตงติดสแตมป์ว่ามาจากเชียงราย!! วงเดือนกำลังจะพลิกจดหมายกลับเพื่อหาที่อยู่ของผู้ส่ง
       ทันใดนั้น ศรีเรือนเข้ามากระชากจดหมายไปจากมือวงเดือน
       “คุณท่าน...” วงเดือนตกใจ
       ศรีเรือนมองจดหมายในมือ สีหน้าโกรธเกรี้ยว
       “หล่อนมีสิทธิ์อะไรมาละลาบละล้วงจดหมายของฉัน
       วงเดือนยกมือไหว้ “ขอโทษค่ะ คุณท่าน คือเดือนกำลังรอจดหมาย...”
       ศรีเรือนสวนคำ “ส่วนเกินอย่างหล่อน จะมีใครติดต่อมาหา พ่อแม่ก็ตายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?! แล้วนี่มันก็จ่าหน้าซองถึงฉัน”
       วงเดือน กลัวนัก แต่ตัดสินใจถาม “นั่นจดหมายจากคุณภูผาใช่ไหมคะ?”
       ศรีเรือนหันขวับมาตาคมกริบ เสียงเข้ม “อย่ามาสอดรู้!”
       วงเดือนหลบตาวูบด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะยกมือไหว้ศรีเรือน และเดินออกไปทางหน้าบ้าน
       ศรีเรือนกำจดหมายภูผาแน่น
      
       “ฉันจะปกป้องแสนสมุทรให้ถึงที่สุด!”
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 
 

ดูเรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ 1 สิงหาคม 2555 ย้อนหลัง

ดูเรื่องเล่าเช้านี้ย้อนหลัง ดูข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ตอนล่าสุด เรื่องเล่าเช้านี้ ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 06.00-08.30 น. เรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง3


















อ่านละครเล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 14 วันที่ 1 ส.ค. 55

 (ต่อ)
บุญทันพยักหน้ารับรู้ แล้วถามหาคุณปู่

“คุณปู่ก็แอดมิทอยู่ห้องข้างๆ นี่ล่ะค่ะ พรุ่งนี้น่าจะลุกมาเยี่ยมพี่ภูได้ พี่ภูนอนพักเถอะนะคะ เมย์จะนั่งอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้”

“พี่ว่าเมย์นอนเถอะ ไม่ต้องห่วงพี่หรอก”

“เมย์ไม่ง่วงค่ะ พี่ภูหลับเถอะ”

บุญทันดึงมือคนรักมาจูบ สาวเจ้าจุ๊บแก้มให้กำลังใจ ชายหนุ่มยิ้มปลื้ม พลางจับมือสาวเจ้าไว้ก่อนจะหลับตาลง

ส่วน ธาวินนอนชะเง้อรอตาลมาเยี่ยม เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายหนุ่มนึกว่าเป็นตาล แต่กลายเป็นพยาบาลนำยาแก้ปวดมาให้ แม้จะผิดหวังอย่างแรง แต่ยังมีกำลังถามหา

“ภรรยาผมอยู่ข้างนอกรึเปล่าครับ”

“ไม่เห็นนะคะ มีแค่คุณเมย์ที่ตอนนี้อยู่กับคุณ

ภูบดี มีอะไรรึเปล่าคะ จะให้โทร.ตามไหม”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาคงมาเยี่ยมผม”

พยาบาลยิ้มให้ก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ธาวินมองตาม พลางรำพึงออกมาเบาๆ “อย่าบอกนะ ว่าตาลจะไม่ ยกโทษให้เรา”

ooooooo
วันรุ่งขึ้น อาการบาดเจ็บทางกายธาวินดีขึ้น แต่อาการทางใจเหมือนยังไม่ได้รักษา ชายหนุ่มนอนรอคนรักมาเยี่ยม หวังเห็นรอยยิ้มเป็นโอสถรักษาใจ แต่คนที่เข้ามากลับเป็นเมย์

“มอร์นิ่งค่ะพี่วิน พี่ภูฝากให้เมย์มาเยี่ยมค่ะ เป็นไงบ้างคะเมื่อคืนหลับสนิทไหม”

ธาวินซ่อนความผิดหวังไว้ในใจ ทักทายเมย์ด้วยไมตรี ก่อนสารภาพเรื่องนอนไม่หลับในคืนที่ผ่านมา

“อ้าว ทำไมล่ะคะ อย่าบอกว่าพี่ตาลชวนคุยทั้งคืนนะ”

“ตั้งแต่พี่ฟื้นขึ้นมา พี่ยังไม่เจอตาลเลย”

“จริงหรือคะ เมื่อคืนตอนที่รอผ่าตัดพี่ตาลยังอยู่กับเมย์เลยนะคะ”

“เขาคงยังโกรธพี่อยู่”

“ไม่ น่าโกรธแล้วมั้ง ตอนที่พี่วินถูกยิงพี่ตาลเขายังร้องไห้เลย เดี๋ยวเมย์โทร.หาเขาดีกว่า บางทีเขาอาจจะมีเรื่องอะไร” เมย์กดโทรศัพท์หาตาล

ด้านสาวตาล เธอยืนเหม่ออยู่หน้าบ้านได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงเข้ามากดรับ

“ค่ะ คุณเมย์”

“พี่ตาลอยู่ไหนคะ มีคนป่วยต้องการกำลังใจด่วนค่ะ”

“อ๋อ ตาลอยู่ต่างจังหวัดน่ะค่ะ”

“พี่ตาลไปทำอะไรที่ต่างจังหวัดคะ”

“ตาลมาพักผ่อนน่ะค่ะ คุณเมย์มีอะไรรึเปล่าคะ”

“แล้วพี่ตาลไม่มาดูพี่วินหรือคะ”

“เขาปลอดภัยแล้วนี่คะ ก่อนมา ตาลถามหมอ หมอ บอกว่าอีกสองวันก็กลับบ้านได้”

“คือเมย์หมายถึงว่าพี่ตาล...” เมย์พูดไม่ออก

“ขอพี่พูดกับตาลหน่อย” ธาวินขอโทรศัพท์ แล้วส่งเสียงอ้อนไปตามสาย “ตาล...นี่ตาลจะไม่ยกโทษให้ ผมจริงๆหรือ”

“ฉันเคยบอกคุณแล้วไงว่าไม่”

“ต้องให้ผมทำอะไรตาลถึงจะหายโกรธ หรือตาลอยากเห็นผมตายไปต่อหน้า ถึงจะยกโทษให้”

“ถึงคุณจะตาย ฉันก็ไม่ยกโทษให้ แค่นี้นะ” ตาลกดปิดโทรศัพท์

ธาวินหน้าสลดหันมาฟ้องเมย์ “เขาบอกว่าถึงผมตายเขาก็ไม่ยกโทษให้ผม”

เสียง ธาวินเศร้าสร้อย เรียกความสงสารจากเมย์ได้ไม่น้อย แต่เธอก็ได้แต่แสดงความเห็นใจ และเข้าใจ ไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าอาการดีขึ้นมาได้

ooooooo

เวลาเดียวกัน พิพัฒน์มาเยี่ยมบุญทันในห้อง พลางปรับทุกข์กับหลานชาย

“ปู่ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าปารมีจะมีจิตใจโหดเหี้ยม ขนาดนี้ ถ้าปู่ไม่ยอมเซ็นเอกสารให้ เขาคงจะฆ่าปู่อีกคน”

“ผมผิดเองครับ ที่ไม่เชื่อสัญชาตญาณตัวเองตั้งแต่แรก ไม่งั้นคุณปรารภคงไม่ตาย”

“ไม่ใช่ความผิดของหลานหรอก ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงที่อ่อนหวาน เจียมเนื้อเจียมตัวอย่างปารมีจะเป็นฆาตกรที่อำมหิต”

“ปารมีคงคิดวางแผนเรื่องนี้มานานแล้ว”

“ใช่ ตำรวจบอกว่าปารมีเป็นคนบงการฆ่าภาคิน แล้วก็พยายามหาทางฆ่าปู่มาแล้วครั้งหนึ่ง”

“ที่สนามกอล์ฟใช่ไหมครับ”

“ใช่ ปารมีให้สมยศจ้างคนมายิงปู่”

“ไม่รู้หัวใจเธอทำด้วยอะไรนะครับ ทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้”

“หวังว่าคราวนี้เรื่องร้ายๆ คงจะจบลงซะทีนะ”

พิพัฒน์เอ่ยพลางถอนใจ ขณะที่บุญทันมองปู่อย่างเข้าใจและเห็นใจ

ooooooo

ธาวินกับบุญทันนอนพักที่โรงพยาบาลสองวัน หมอก็อนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
บุญทันดีใจมาก สีหน้าเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด เมย์ตามดูแลไม่ห่าง ผิดกับธาวินที่เอาแต่นั่งเหม่อเพราะสาวตาลนอกจากไม่มารับแล้วยังไม่ยอม ติดต่อมาเลย

“สงสารพี่วินนะคะ พี่ตาลไม่ยอมใจอ่อนเลย” เมย์แอบกระซิบกับคนรัก

“แต่พี่เชื่อว่าคนอย่างธาวินไม่ยอมแพ้ตาลง่ายๆ หรอก” บุญทันมองธาวินอย่างมั่นใจ

ครู่ ต่อมา ธาวินหยิบโทรศัพท์มากดหาตาล แม้หวังจะริบหรี่ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม สาวตาลนั่งอยู่ริมระเบียงบ้าน สายตาอยู่กับหนังสือทำเบเกอรี่ เมื่อโทรศัพท์ดังก็กดรับสาย “ฮัลโหล”

“นี่ผมนะตาล ธาวินสามีคุณ”

“คุณอย่ามาทำซี้ซั้วพูดนะ ฉันยังไม่เคยมีอะไรกับคุณ”

“ให้โอกาสผมอีกสักครั้งไม่ได้หรือตาล”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่”

“ถ้าอย่างงั้นให้ผมได้เจอคุณอีกซักครั้งได้ไหม”

“เพื่ออะไร”

“ผมไม่รู้ว่าเพื่ออะไร แต่ถ้าคุณจะเลิกกับผม ผมก็อยากเห็นหน้าคุณอีกครั้ง ก่อนที่เราจะจากกัน”

“ก็ได้ ฉันอยู่หัวหิน ถ้าคุณอยากเจอก็มาหาฉันที่นี่”

“ได้ ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้” ธาวินกดวางสาย ส่วนตาลยืนอมยิ้มดีใจที่ชายหนุ่มจะมาง้อ

บุญทันกับเมย์ยืนมองอยู่ เห็นธาวินเดินไปที่รถจึงเข้ามาถามว่าจะไปไหน ชายหนุ่มตอบว่าจะไปหัวหิน

“พี่ตาลยกโทษให้แล้วหรือคะ”

“เปล่า พี่จะไปเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย” ธาวินทำเสียงเศร้า เขาบอกลาบุญทันแล้วขึ้นรถออกไป

เมย์ใจคอไม่ดีบ่นกับคนรัก “ทำไมพี่วินพูดเป็นลางไม่ดีเลย ไปเจอครั้งสุดท้าย”

“มันอาจจะหมายความว่าต้องเลิกกันจริงๆมั้ง นี่ดีนะที่น้องเมย์ไม่ใจแข็งเหมือนตาล”

“ที่จริง เมย์ก็อยากทำแบบพี่ตาลเหมือนกัน แต่กลัวพี่ภูไม่ง้อแล้วหนีกลับไปอยู่อเมริกา”

“ไม่มีทางหรอก ถึงยังไงพี่ก็ต้องทำให้น้องเมย์ใจอ่อนให้ได้”

“จริงหรือ”

“จริงสิ พี่รักน้องเมย์ พี่ไม่มีวันหนีน้องเมย์ไปไหนหรอก”

“รักพี่ภูที่สุดในโลกเลย” เมย์จุ๊บแก้มบุญทันแล้วโผเข้ากอด

ooooooo

ระหว่าง เดินทาง ธาวินครุ่นคิดถึงคำพูดของตาล พลางคิดหาวิธีงอนง้อให้สาวเจ้าหายโกรธ แล้วประโยคที่ว่า “ถึงคุณตายฉันก็ไม่ยกโทษให้” แวบเข้ามา

“ต่อให้เราตายก็ไม่ยกโทษให้งั้นหรือ” ธาวินคิดได้ เขาเปลี่ยนเกียร์เร่งความเร็วรถ

ไม่ กี่ชั่วโมง ธาวินก็มาถึงบ้านริมทะเล ขณะนั้นตาลเดินคุยอยู่กับผู้รับเหมาก่อสร้างร้านเบเกอรี่ในฝัน เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา เธอหันไปบอกผู้รับเหมาว่า จะโทร.ไปนัดวันอีกที ผู้รับเหมารับคำเดินออกไป

“คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดมาได้เลย” ตาลเริ่มรุกเมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ธาวินยืนมองตาลนิ่ง แล้วถูกตาลตวาดซ้ำ “ว่าไง จะพูดหรือไม่พูด มายืนมองหน้าฉันอยู่ได้”

“ผมคงไม่มีอะไรจะพูดนอกจากบอกคุณว่า ผมรักคุณ”

“โอเค ฉันรับทราบ”

“แค่นี้แหละที่ผมอยากจะบอกคุณ” ธาวินหันหน้าจากคนรัก ค่อยๆเดินจากไปอย่างเชื่องช้า

ตาลมองตามด้วยความงง ไม่คาดฝันว่าชายหนุ่ม จะจากไปง่ายๆ เธอพึมพำออกมา “อะไร มาตั้งไกลพูดแค่นี้เองหรือ”
ขอขอบคุณจาก thairath.co.th

อ่านละครรักคุณเท่าฟ้า ตอนที่ 9 วันที่ 2 ส.ค. 55

  กบเข้ารถมาจอดตรงเนินสูงท่ามกลางขุนเขาสูงใหญ่ สักพักธีระก็ขับรถตามมา กบ แดงและไตรตั้นเปิดประตูลงจากรถ ธีระเปิดประตูตามลงมา
       “สวยจังเลยครับพ่อ” ไตรตั้นบอก
       “ระวังนะลูก อย่าวิ่งออกไปไกล” กบเตือน
       “อากาศดีจังเลยนะพี่กบ” ธีระพูด
       “งั้นต้องเปิดไวน์นะ” กบบอก
       “ดีเลยพี่กบ”
       “ใจเย็นก่อนพี่กบ มาช่วยยกเสบียงก่อน” แดงบอก
       “มาผมช่วย” ธีระอาสา
       กบกับธีระช่วยแดงยกถุงอาหาร ผลไม้ ลังไวน์และเครื่องดื่มลงจากรถ
      
       แดงเดินนำเข้ามาในบ้านพัก ธีระยกลังของตามเข้ามา ส่วนกบยกถังน้ำแข็งตาม
       “บ้านเพื่อนพี่กบนี่สวยจริงๆนะ” ธีระเอ่ยชม
       “พี่เอกไงล่ะ จำพี่เอกได้มั้ย” กบถาม
       “จำได้ครับ นี่บ้านพี่เอกหรือ”
       “ใช่ พี่เอกเค้าเป็นสถาปนิคไม่สวยได้ไง” แดงบอก
       ไตรตั้นวิ่งเข้ามาในบ้าน
       “แม่ครับ ดูสิครับ ใครมา”
       “คุณยายตามมาหรือไตรตั้น” ธีระแปลกใจ
       ข้าวตูเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า
       “ตูเองค่ะ”
       ธีระมองอย่างอึ้งๆ
       “พี่เห็นว่าเรามาน้อยคนไม่สนุก ก็เลยชวนข้าวตูมาด้วย” แดงบอก
       “พี่ธีคงไม่ว่านะคะ” ข้าวตูบอก
       “อ๋อ เชิญเลย”
       “แล้วนี่ใครมาส่ง” กบถาม
       “ตูให้รถตู้มาส่งน่ะค่ะ” ข้าวตูบอก
       “พี่บอกให้นั่งรถมากับธีก็ไม่เชื่อ” แดงพูด
       ข้าวตูเหลือบมองธีระ ธีระทำเฉย
       “พ่อครับ เรานอนห้องไหนครับ” ไตรตั้นถาม
       “ห้องซ้ายมือนั่นไง” กบชี้ไป
       “แล้วอีกห้องนึงน้าธีก็ต้องนอนกับน้าข้าวตูหรือครับ”
       “ไตรตั้น แม่ว่าลูกออกไปวิ่งเล่นข้างนอกดีกว่ามั้ย” แดงตัดบท
       “ตูนอนห้องรับแขกได้ค่ะ”
       “ไม่ต้องหรอก ตูนอนห้องเถอะพี่นอนโซฟาเอง” ธีระบอก
       “แต่พี่ว่าธีนอนห้องเดียวกับตูก็ได้นะ เพราะห้องนู้นเตียงแยก” กบบอก
       “พี่กบ เค้าไม่ได้เป็นอะไรกัน จะให้ไปอยู่ด้วยกันได้ไง” แดงท้วง
       “แต่ตูไม่ถือนะคะ” ข้าวตูพูดเล่นขำๆ
       “ไม่เป็นไร พี่นอนโซฟาดีกว่า” ธีระย้ำ
       ธีระพูดแล้วเดินออกไป ข้าวตูมองตาม
       “พี่แดง พี่ธีเค้าไม่อยากให้ตูมารึเปล่า”
       “ไม่หรอก ธีเค้าเป็นสุภาพบุรุษ” กบบอก
       “ใช่ อย่าไปคิดมาก มาช่วยพี่ทำกับข้าวดีกว่า” แดงชวน
       แดงเดินนำข้าวตูเข้าครัวไป ข้าวตูเดินตาม
      
       ธีระเปิดประตูรถแล้วหยิบกระเป๋าเสื้อผ้ากับถุงจากซุปเปอร์มาเก็ตออก มา เขาเดินเข้าบ้านในจังหวะเดียวกับที่ข้าวตูเดินเลี้ยวโค้งประตูออกมาพอดี ต่างฝ่ายต่างชะงักที่หน้าประตู ธีระขยับจะเดินไปทางซ้าย ข้าวตูแกล้งเดินไปซ้าย ธีระขยับจะเดินไปทางขวาข้าวตูก็ขยับมาทางขวา ธีระหยุดมอง
       “ขอโทษค่ะ พี่แดงบอกว่าให้มาเอาชีสที่ฝากพี่ธีซื้อค่ะ” ข้าวตูบอก
       “อ๋อ นี่ไง”
       ธีระส่งถุงให้แล้วเก๊กหน้าขรึม ข้าวตูรับไปแล้วมองหน้าธีระ ธีระทำขรึมใส่ ข้าวตูหันกลับไป
       “เดี๋ยวตู” ธีระเรียก
       ข้าวตูชะงักแล้วอมยิ้ม
       “มีอะไรคะพี่ธี”
       “พี่ซื้อแปรงสีฟันกับยาสีฟันอยู่ในถุง ขอถุงก่อนได้มั้ย”
       ข้าวตูส่งถุงให้ ธีระหยิบแปรงสีฟันกับยาสีฟันออกจากถุง ข้าวตูมองจ้อง ธีระเหลือบมองเห็นข้าวตูจ้องอยู่ก็หลบตา ข้าวตูอมยิ้ม ธีระส่งถุงคืนให้
       “ไม่ลืมอะไรแล้วนะคะ”
       “จ้ะ”
       ข้าวตูหันจะเดินกลับเข้าบ้าน ธีระมองตาม ข้าวตูชะงักแล้วหันมา
       “พี่ธีคะ”
       ธีระชะงักมอง ข้าวตูเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ ธีระซ่อนความรู้สึกทำทีเป็นมองของในถุงแต่ก็เหลือบตามองข้าวตู ข้าวตูหยุดเดินแล้วมองจ้อง ธีระทำเก๊กใส่
       “มีอะไรหรือ”
       “พี่ธีลืมมีดโกนหนวดค่ะ”
       “ขอบใจ”
       ธีระฝืนยิ้ม ข้าวตูยิ้มให้แล้วเดินไป ธีระมองตามก่อนจะถอนใจกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อข้าวตู
      
       ข้าวตูช่วยแดงจัดจานและล้างแก้วอยู่ในครัว ธีระเดินผ่านมาชะงักมอง เขาเห็นข้าวตูคุยกับแดงด้วยท่าทีน่ารัก ข้าวตูแกะหัวหอมจนน้ำตาไหล ธีระแอบมองแล้วก็อดที่จะยิ้มขำไม่ได้ ข้าวตูหันมา ธีระรีบหลบ
       ข้าวตูตักซุปมาชิมแล้วตักให้แดงชิม ทั้งสองยืนคุยกัน ธีระแอบมองอยู่ ไตรตั้นเดินเข้ามามองธีระแล้วมองไปที่ข้าวตูก่อนจะสะกิด
       “น้าธี”
       ธีระสะดุ้ง “ตั้น ทำไมมาเงียบๆ น้าตกใจหมด”
       “น้าธีแอบมองใครอยู่”
       “เปล่า”
       “ไม่จริง ตั้นรู้นะน้าธีแอบมองน้าตู”
       “น้าจะไปแอบมองเค้าทำไม”
       “น้าธีชอบน้าตูใช่มั้ย” ไตรตั้นถาม
       “เรารู้ได้ไง”
       “ตั้นก็ชอบแอบดูน้าตูเหมือนกัน”
       “แล้วน้าตูเค้าชอบเรารึเปล่า”
       “ตั้นว่าเค้าชอบน้าธีมากกว่า”
       “เรานี่แก่แดดจริง ๆ” ธีระว่า
       ธีระเดินออกไป ตั้นมองตามแล้วบ่นกับตัวเอง
       “ถือว่าหล่อกว่าเรา”
      
       ธีระยืนมองวิวอยู่ในบ้านพัก กบส่งไวน์ให้
       “ขอบคุณครับ ที่นี่สวยนะ พี่กบ”
       “อยากได้มั้ยล่ะ พี่ให้เพื่อนช่วยหาให้” กบบอก
       “ไม่ล่ะพี่กบ คิดอีกที อยู่คนเดียวคงเหงาแย่”
       “ก็หาคนมาอยู่ด้วยสิ” กบบอก ธีระยิ้ม “น้องตูไง เค้าดูน่ารักนะ พี่ว่าเหมาะกับนาย”
       “ผมเลิกคิดเรื่องนั้นแล้วพี่กบ”
       “ไม่เอาน่า วันนึงแม่ก็ต้องใจอ่อน ยอมรับผู้หญิงซักคนที่นายรักอาจจะเป็นน้องตูนี่ก็ได้นะ”
       “ผมว่าอย่าดีกว่า ผมไม่อยากตั้งความหวังกับอะไรอีก”
       “หมายความว่านายจะไม่มีเมียไปตลอดชีวิตหรือ”
       “มันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เอาไว้วันนึงไม่มีแม่ ค่อยว่ากัน”
       ข้าวตูเดินเข้ามา
       “พี่ธีคะ”
       ธีระหันไปมอง ข้าวตูยิ้มให้
       “พี่แดงให้เอาชีสกับแครกเกอร์มาให้ค่ะ”
       “ขอบใจจ้ะ”
       กบรีบปลีกตัว “ตูอยู่คุยเป็นเพื่อนพี่ธีนะ เดี๋ยวพี่จะเข้าไปดูพี่แดงซะหน่อย”
       กบเดินเข้าไปในครัว
       “ที่นี่สวยจังเลยนะคะ”
       “ครับ”
       “พี่ธีชอบเที่ยวเขาหรือทะเลคะ”
       “อะไรก็ได้”
       “แต่ตูชอบทะเล วันหลังไปเที่ยวทะเลกันมั้ยคะ”
       “โทษที พี่ลืมไป พี่สัญญากับไตรตั้นว่าจะเล่านิทานให้เค้าฟังพี่ขอตัวนะ”
       ธีระตัดบทแล้วเดินออกไป ข้าวตูมองอย่างอึ้งๆ และไม่เข้าใจ
      
       ธีระเดินเข้ามายืนพิงผนัง เขามองกลับไปก็เห็นข้าวตูหันมา ธีระรีบหลบ ข้าวตูมองแล้วคิด
       “พี่ธีเค้าเป็นอะไรของเค้านะ”
      
       ธีระนั่งเล่านิทานให้ไตรตั้นฟังอยู่ในห้องพักของกบและแดง
       “และเจ้าหมีตัวน้อยก็วิ่งกลับไปหาแม่อย่างปลอดภัย”
       “แล้วนายพรานที่เหยียบกับดักตายมั้ยครับ” ไตรตั้นถาม
       “ไม่ตายหรอก ตำรวจป่าไม้มาพอดีก็เลยจับนายพรานไป”
       “แล้วแม่ลูกหมีเค้าตีลูกหมีมั้ยครับ ที่ไม่เชื่อฟัง”
       “ไม่จ้ะ”
       “ไม่เหมือนแม่แดง ถ้าเป็นแม่แดง ตั้นต้องถูกตีก้นแน่ๆ”
       “งั้นต่อไปนี้ตั้นต้องเชื่อฟังแม่แดงและพ่อกบรู้มั้ย”
       “ครับ”
       เสียงเคาะประตูดังขึ้น ข้าวตูเปิดเข้ามา ธีระมองแล้วก็ชะงัก
       “ไตรตั้น น้าตูซื้อน้ำข้าวโพดกับพายองุ่นมาฝาก” ข้าวตูบอก
       “ขอบคุณครับ”
       “พี่ธีเอาพายมั้ยคะ” ข้าวตูถาม
       “ไม่ล่ะจ้ะ”
       “น้าตูมาฟังนิทานสิครับ น้าธีเล่าสนุกมากเลยครับ” ไตรตั้นบอก
       ข้าวตูมองหน้าธีระ
       “น้าธีครับ ให้น้าตูฟังด้วยคนนะครับ”
       ธีระมองหน้าข้าวตู
       “งั้นตั้นให้น้าตูเล่าแทนน้าธีแล้วกันนะ เพราะน้าธีหมดเรื่องเล่าแล้ว” ธีระตัดบท
       ธีระลุกจะเดินออกไป ข้าวตูเริ่มไม่พอใจ
       “เดี๋ยวสิคะพี่ธี”
       “มีอะไรหรือ”
       ธีระยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไร ข้าวตูมองหน้าธีระเหมือนจะถามความในใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
       “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
       ธีระยิ้มให้แล้วเดินออกไปปิดประตู ข้าวตูลงนั่งอย่างอึ้งๆ ไตรตั้นมองจ้อง
       “น้าตูครับ”
       “หือม์”
       “ตั้นมีคำถามครับ”
       “คำถามอะไร”
       “ระหว่างตั้นกับน้าธี น้าตูชอบใครมากกว่ากัน”
       “ทำไมถามอย่างนี้ล่ะจ๊ะ”
       “ตั้นอยากรู้ครับ”
       “ก็ต้องชอบไตรตั้นสิ”
       “ไชโย้ ... น้าธีหมดสิทธิ์ เดี๋ยวตั้นไปบอกน้าธีก่อน”
       ไตรตั้นวิ่งออกไปจากห้อง ข้าวตูอึ้งกับสิ่งที่ธีระทำ
      
       ธีระยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน ไตรตั้นวิ่งเข้ามา
       “น้าธีครับ ... น้าตูบอกแล้วว่าชอบตั้นมากกว่าน้าธี”
       ธีระมองหลานแล้วฝืนยิ้มอย่างเศร้าๆ ข้าวตูก็แอบมองธีระอยู่ด้วยความเสียใจ
ขอขอบคุณจาก manager.co.th 

อ่าน เจย์เอสลี หยอดหวานแฟนคลับ ร้อง-พูด ภาษาไทย... เรารักคุณ

“เจย์เอสลี ” หยอดหวานแฟนคลับ ร้อง-พูด ภาษาไทย... เรารักคุณ วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2555 เวลา 00:04 น. เพิ่งผ่านพ้นไปหมาด ๆ สำหรับภาพความประทับใจที่เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตของ 2 พี่น้องสาวสวยหน้าใสฝีมือเยี่ยมอย่าง โซเนีย ลี (Sonia Lee) และ เจนิส ลี (Janice Lee) กับคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย “เจย์เอสลี ไลฟ์ อิน แบงค็อก” งานนี้เหล่าบรรดาแฟนคลับไทยและชาวต่างประเทศ ต่างร่วมใจกันตบเท้าเข้ามาให้กำลังใจสองสาวอย่างคับคั่ง ทำเอาบางกอกคอนเวนชั่น ฮอลล์ ดูแคบไปถนัดตา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันเอง โดยสองสาว เจย์เอสลี กล่าว ...“สวัสดี” เป็นการทักทายแฟน ๆ พร้อมเปิดตัวโชว์เพลงแรกด้วย ’เจท แลก“ (Jet Lag) จากนั้นพาไปสนุกกันต่อด้วย ’ร็อกเก็ทเทียร์“ (Rocketeer) ที่ไปยืมเพลงของฟาร์ อิส มูปเมนท์ มาร้อง และ“ไอ วอนท์ กีฟ อัพ” (I Won‘t Give Up) ของ เจสัน มาราซ มาร้อง แถมหยิบเอาเพลงประกอบภาพยนตร์ดังอย่าง “เดอะ ทไวไลท์ เซก้าฯ” ในเพลง ’อะ เธาซัน เยียร์ส“ (A Thousand Years) และเพลงประกอบภาพยนตร์ “เดอะ ฮันเตอร์ เกม” เพลง ’เซฟ แอนด์ซาวน์“ มาเรียกเสียงกรี๊ด แถมสองสาวก็ไม่รอช้า หยอดคำหวานอ้อนแฟนคลับชาวไทยอยู่ตลอดเวลา ด้วยคำว่า ...“เรารักคุณ” แถมยังชมเปาะว่าชาวไทยน่ารักมาก เพราะไม่ว่าเธอทั้งสองคนจะร้องเพลงอะไร แฟน ๆ ก็จะคอยปรบมือให้กำลังใจพวกเธอเสมอ จนมาไฮไลต์สำคัญในครั้งนี้ ที่สองสาวตั้งใจจะเซอร์ไพร้ส์คนดู ด้วยการหยิบเอาเพลงฮิตของ วงซิงกูล่าร์ อย่างเพลง ’เบาเบา“ มาร้อง เป็นการขอบคุณแฟนเพลงชาวไทยที่ให้การต้อนรับทั้งคู่อย่างอบอุ่น หลังจากจบเพลงนี้ผู้ชมในฮอลล์ก็ลุกขึ้นยืนปรบมือเสียงดังกึกก้อง เพราะทั้งคู่ถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจจริง ๆ ทำเอาสองสาวยิ้มแก้มปริอยู่บนเวที ก่อนที่ทั้งคู่สัญญาว่าจะกลับมาหาแฟน ๆ ชาวไทยอีกแน่นอน จากนั้นมาปิดท้ายคอนเสิร์ตเปิดโอกาสให้แฟนคลับได้มีท แอนด์ กรี๊ด แบบเป็นกันเอง ถ่ายรูปตัวต่อตัว พร้อมแจกลายเซ็นกลับไปเป็นที่ระลึกอีกต่างหาก.
ที่มา dailynews.co.th